กลับมาร้อนระอุอีกครั้งสำหรับสถานการณ์ ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเกิดเหตุปะทะเดือดเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ที่ผ่านมา บริเวณ ภูผาเหล็ก หรือที่หลายคนคุ้นหูในชื่อ พลาญหินแปดก้อน ในอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขาพระวิหาร เหตุการณ์นี้ทำให้หลายคนสงสัยว่าทำไมพื้นที่ตรงนี้ถึงกลายเป็น “จุดตาย” ที่เกิดเรื่องซ้ำซาก วันนี้เราจะพาไปเจาะลึกที่มาที่ไปของพื้นที่ยุทธศาสตร์นี้ให้เข้าใจง่ายขึ้น
ย้อนรอย ภูผาเหล็ก จากแผลเก่าสู่เหตุปะทะล่าสุด ใครเริ่มก่อน?
ภูผาเหล็ก ตั้งอยู่บนเทือกเขาพนมดงรัก มีจุดเด่นคือกลุ่มหินขนาดใหญ่เรียงกัน ด้วยชัยภูมิที่เป็นที่สูงมองเห็นได้ไกล จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการควบคุม ปัญหาหลักมาจากเส้นเขตแดนที่ยังคลุมเครือสืบเนื่องมาตั้งแต่ยุคอาณานิคม แม้ศาลโลกจะตัดสินเรื่องตัวปราสาทพระวิหารไปแล้ว แต่พื้นที่รอบนอกก็ยังเป็นปัญหาคาราคาซัง เหมือนระเบิดเวลาที่เคยระเบิดมาแล้วในปี 2551 และ 2554 จนชาวบ้านต้องอพยพหนีตายกันวุ่นวาย
สำหรับเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 7 ธ.ค. 68 กินเวลาปะทะกันสั้นๆ ประมาณ 35 นาที แต่ตึงเครียดหนัก ฝ่ายไทยยืนยันด้วยหลักฐานภาพถ่ายจากโดรนว่าทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาก่อนและเปิดฉากยิงใส่ชุดลาดตระเวนไทยที่กำลังปรับปรุงเส้นทางด้วยปืนไร้แรงสะท้อนถัง ในขณะที่ฝั่งเพื่อนบ้านก็อ้างว่าไทยยิงเข้าไปก่อน ผลจากเหตุการณ์นี้ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย คือ ส.อ.อนุชาติ ที่ถูกยิงขา และ พลฯ พรชัย ที่รอดมาได้เพราะกระสุนติดเสื้อเกราะ
สถานการณ์ตอนนี้ยังวางใจไม่ได้ กองทัพต้องตรึงกำลังเข้ม และมีการแจ้งเตือนประชาชนใน 4 จังหวัดอีสานใต้ (ศรีสะเกษ, สุรินทร์, บุรีรัมย์, อุบลฯ) ให้เตรียมพร้อมรับมือหากสถานการณ์บานปลาย อีกมุมหนึ่งมีการวิเคราะห์จากฝั่งสหรัฐฯ ว่าเรื่องนี้อาจไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นเกมการเมืองเพื่อสร้างภาพลักษณ์ผู้นำของฝั่งกัมพูชา อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายกำลังเร่งเจรจาผ่านกลไก JBC เพื่อลดความตึงเครียดให้เร็วที่สุด
สรุป ภูผาเหล็กยังคงเป็นพื้นที่เปราะบางที่สะท้อนปัญหาเขตแดนกว่า 100 ปี ช่วงนี้ใครอาศัยอยู่ใกล้พื้นที่เสี่ยง หรือมีแผนจะเดินทางไปท่องเที่ยวแถบนั้น แนะนำให้งดเว้นไปก่อน และติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัยสูงสุด