ขึ้นภาษี “เบนซิน-ดีเซล” มีผล 7 พ.ค.นี้ ราชกิจจาฯ ประกาศชัด หวังเพิ่มรายได้รัฐ

ขึ้นภาษี “เบนซิน-ดีเซล” มีผล 7 พ.ค.นี้ ราชกิจจาฯ ประกาศชัด หวังเพิ่มรายได้รัฐ

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ กฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 42) พ.ศ. 2568 ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการ ขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินและดีเซล โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป

เนื้อหาหลักของกฎกระทรวง

  • ข้อ 1 กฎกระทรวงนี้มีผลบังคับใช้ทันทีในวันถัดไปหลังประกาศ (7 พ.ค. 2568)
  • ข้อ 2-4 ยกเลิกอัตราภาษีเดิมที่กำหนดไว้ในฉบับก่อนหน้า (ฉบับที่ 41) และปรับขึ้นอัตราภาษีใหม่สำหรับกลุ่มน้ำมันเบนซินและดีเซล ตามบัญชีท้ายกฎกระทรวง

แม้ในประกาศจะไม่ได้ระบุรายละเอียดตัวเลขอัตราภาษีใหม่อย่างชัดเจน แต่การยกเลิกหลายหมวดย่อยและแทนที่ด้วยเงื่อนไขใหม่ทั้งหมด เป็นสัญญาณชัดเจนของ การปรับขึ้นภาษีอย่างมีนัยสำคัญ

เหตุผลของการขึ้นภาษีครั้งนี้

ตามประกาศระบุชัดว่า การขึ้นภาษีครั้งนี้เกิดจาก ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลง ทำให้รัฐมองว่าเป็นโอกาสเหมาะสมในการเพิ่มการจัดเก็บภาษี เพื่อบรรเทาภาระทางการคลังและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

“…เพื่อให้รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น อันเป็นการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศและเสถียรภาพทางการคลังของรัฐ…”

ผลกระทบต่อผู้บริโภคและภาคขนส่ง

แม้ราคาน้ำมันดิบจะปรับลด แต่การขึ้นภาษีจะส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศมีแนวโน้ม ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ

  • ต้นทุนค่าครองชีพของประชาชน
  • ต้นทุนขนส่งสินค้าและวัตถุดิบ
  • ความกังวลต่อ เงินเฟ้อในระยะสั้น

โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ส่วนตัวที่ใช้น้ำมันเบนซิน และภาคธุรกิจขนส่งที่พึ่งพาน้ำมันดีเซลเป็นหลัก

สรุป

การประกาศขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันครั้งนี้ ถือเป็นนโยบายการคลังเชิงรุกของรัฐบาลไทยที่ต้องการเพิ่มรายได้รัฐในช่วงราคาน้ำมันโลกอยู่ในระดับต่ำ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ แต่ก็อาจสร้างแรงกดดันด้านต้นทุนให้ประชาชนและธุรกิจในระยะสั้น